แหล่งท่องเที่ยวในภาคกลาง
1. เขากะโหลก วนอุทยานท้าวโกษา อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
วนอุทยานท้าวโกษา หรือที่ใคร ๆ มักจะเรียกว่า “เขากะโหลก” เมื่อได้มายืนอยู่ที่นี่ความสงสัยในที่มีของชื่อก็จะหายไป เพราะเมื่อท่านยืนอยู่บนชายหาดแล้วมองกลับเข้ามายังเขากะโหลกลูกนี้ท่านจะเห็นโครงสร้างของกระดูกส่วนที่เป็นใบหน้าและมีรูกลวงโบ๋ที่บอกให้รู้ว่าเคยเป็นที่อยู่ของดวงตามาก่อน แต่ไม่ค่อยเหมือนกะโหลกของคนทั่วไป เพราะมีลักษณะนูนโค้งบริเวณส่วนที่น่าจะเป็นจมูกคล้ายเหมือนกระโหลกสัตว์มากกว่า แต่จะเป็นสัตว์อะไรก็ไม่อาจเดาได้เพราะไม่เคยเห็นกระโหลกของสัตว์แต่ละชนิด แต่ถ้าดูรวม ๆ ไปทั้งภูเขาที่มีกะโหลกติดอยู่ก็ต้อง
จินตนาการไปถึงช้างตัวใหญ่กำลังหมอบอยู่ หรือจะเป็นเต่ากำลังคืบก็น่าจะพอได้ (แต่ต้องจินตานาการว่าเรายืนมองจากด้านข้าง ไม่ใช่จากด้านหน้า) และยังสามารถเดินลัดเลาะไปตามขอบเขากะโหลกด้านล่างเพื่อชมบรรยากาศได้ในช่วงน้ำลง มองเห็นกลุ่มเรือประมงที่จอดนิ่งติดพื้นทรายเพื่อรอเวลาน้ำขึ้นและพากันออกจากเขากะโหลกไปสู่ทะเลเบื้องหน้านอกจากเขากะโหลกแล้วที่วนอุทยานท้าวโกษาแห่งนี้ยังมีชายหาดยาว และเมื่อน้ำลงมาก ๆ พื้นที่จะกว้างใหญ่สามารถเดินลึกลงไปเพื่อมองย้อนกลับมาถ่ายภาพหัวกะโหลกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และบริเวณชายหาดที่เขากะโหบกแห่งนี้ยังเป็นแหล่งรวมเครื่องเล่นทางน้ำให้เช่า เช่นบานาน่าโบ๊ท เรือคายัค เป็นต้น เมื่อเดินเล่น ถ่ายภาพ เล่นน้ำ ฯลฯ จนเหนื่อยแล้วจะมีพ่อค้าแม่ค้ามาสอบถามเผื่อว่าท่านสนใจเตียง หรือเสื่อปูนอนนั่ง(จริง ๆ ตอนเข้ามาก็ถามด้วย) หรือจะเดินไปอีกสักเล็กน้อยถึงบริเวณลานจอดรถ ฝั่งตรงข้ามถนนก็จะมีบริการอาหารตามสั่งต่าง ๆ ข้าวเหนียว ไก่ย่าง ส้มตำก็มี ถ้าหากต้องการสั่งไปทานริมทะเลก็อย่าลืมเก็บขยะต่าง ๆ ชายหาดจะได้สวยงามมีไว้เผื่อแผ่ให้กับคนรุ่นหลังได้ชื่นชมความประทับใจของเขากะโหลกแห่งนี้ไปอีกนาน ๆ
การเดินทางด้วยรถประจำทาง
จาก ก.ท.ม. ขึ้นรถที่ ขนส่งสายใต้ใหม่ ตีตั๋วไปลงที่แยกปราญบุรี เลยหัวหินไปอีกนิด ลงที่แยกปราญบุรี จะมีรถสองแถวจาก แยกปราณ-สู่ปากน้ำ
รถส่วนตัว
จากถนนเพชรเกษมเมื่อเลี้ยวเข้ามาจากปราณบุรี มุ่งหน้าตรงเข้ามาตามถนนรัฐบำรุงโดยไม่เลี้ยวเข้ามาทางอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด ถนนสายนี้จะตัดขนานมากับแม่น้ำปราณ และพามาสิ้นสุดที่บริเวณเดียวกับปากแม่น้ำ
ส่วนรถไฟ
เที่ยวแรกประมาณ 7.20 น. ขึ้น ที่สถานรถไฟ บางกอกน้อย ตีตั๋วไป ลงที่สถานีปราญบุรี นั่งสองแถวเข้าไปเหมือนกัน
ที่พัก และสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง
มีให้เลือกมากมาย หรือจะพกเต๊นท์ติดตัวไปกางนอนที่เขากะโหลก หรือ อช.เขาสามร้อยยอดก็ย่อมได้
รถส่วนตัว
จากถนนเพชรเกษมเมื่อเลี้ยวเข้ามาจากปราณบุรี มุ่งหน้าตรงเข้ามาตามถนนรัฐบำรุงโดยไม่เลี้ยวเข้ามาทางอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด ถนนสายนี้จะตัดขนานมากับแม่น้ำปราณ และพามาสิ้นสุดที่บริเวณเดียวกับปากแม่น้ำ
ส่วนรถไฟ
เที่ยวแรกประมาณ 7.20 น. ขึ้น ที่สถานรถไฟ บางกอกน้อย ตีตั๋วไป ลงที่สถานีปราญบุรี นั่งสองแถวเข้าไปเหมือนกัน
ที่พัก และสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง
มีให้เลือกมากมาย หรือจะพกเต๊นท์ติดตัวไปกางนอนที่เขากะโหลก หรือ อช.เขาสามร้อยยอดก็ย่อมได้
2. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี
เดิมเรียกอู่เรือพระราชพิธี สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อใช้เก็บเรือพระที่นั่งและเรือรบ แต่ปัจจุบันใช้เก็บเรือในพิธีกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค เดิมอยู่ในความดูแลของกองทัพเรือ แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงเรือได้รับความเสียหายมาก และในปี พ.ศ. 2490 สำนักพระราชวังและกองทัพเรือได้มอบให้กรมศิลปากรทำการซ่อมแซมดูแลรักษา บรรดาเรือต่าง ๆ ที่ใช้ในพระราชพิธีเหล่านี้เป็นเรือที่มีประวัติสำคัญมาแต่โบราณ ที่ยังคงความสวยงามในฝีมือช่างอันล้ำเลิศ และทรงคุณค่าในงานศิลปกรรม ประการสำคัญยังสามารถนำมาใช้ในการพระราชพิธีต่าง ๆ สืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน กรมศิลปกรเล็กเห็นความสำคัญดังกล่าว จึงได้ขึ้นทะเบียนเรือพระที่นั่งต่าง ๆ ไว้เป็นมรดกของชาติ พร้อมกับยกฐานะของอูเก็บเรือขึ้นเป็ฯ “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเรือพระราชพิธี” ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2517 เป็นต้นมา จัดแสดงเรือพระราชพิธี ศิลปโบราณวัตถุ สิ่งของเครื่องใช้ประกอบในพระราชพิธีชลมารคเพิ่มเติม เพื่อเปิดบริการแก่ผู้เข้าชมทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ได้ชื่นชมความงาม และศึคกษาเรื่องราวของเรือพระราชพิธีได้อย่างลึกซึ้งและเข้าใจมากยิ่งขึ้น
เรือที่เก็บอยู่ในโรงเรือพระราชพิธีนี้ ได้แก่
เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช (สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4)
เป็นเรือที่สร้างใหม่ในรัชกาลที่ ๖ แทนลำเดิม ซึ่งสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๔ หัวเรือปิดทองประดับกระจก เป็นรูปพญานาค ๗ เศียร จัดเป็นเรือพระที่นั่งกิ่ง ลำเรือภายนอกทาสีเขียว ท้องเรือภายมนทาสีแดง มีความยาว ๔๒.๙๕ เมตร ความกว้าง ๒.๙๕ เมตร ลึก ๐.๗๖ เมตร กินน้ำลึก ๐.๓๑ เมตร กำลัง ๓.๐๒ เมตร ฝีพาย ๕๔ คน นายท้าย ๒ คน นายเรือ ๒ คน คนถือธงท้าย ๑ คน พลสัญญาน ๑ คน คนเห่เรือ ๑ คน
เป็นเรือที่สร้างใหม่ในรัชกาลที่ ๖ แทนลำเดิม ซึ่งสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๔ หัวเรือปิดทองประดับกระจก เป็นรูปพญานาค ๗ เศียร จัดเป็นเรือพระที่นั่งกิ่ง ลำเรือภายนอกทาสีเขียว ท้องเรือภายมนทาสีแดง มีความยาว ๔๒.๙๕ เมตร ความกว้าง ๒.๙๕ เมตร ลึก ๐.๗๖ เมตร กินน้ำลึก ๐.๓๑ เมตร กำลัง ๓.๐๒ เมตร ฝีพาย ๕๔ คน นายท้าย ๒ คน นายเรือ ๒ คน คนถือธงท้าย ๑ คน พลสัญญาน ๑ คน คนเห่เรือ ๑ คน
เรือพระที่นั่งเอนกชาติภุชงค์ (สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5)
เป็นเรือสร้างใหม่ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ จัดเป็นเรือพระที่นั่งศรี หัวเรือจำหลัก ปิดทองเป้นรูปพญานาคเล็ก ๆ จำนวนมาก ลำเรือภายนอกทาสีชมพู ท้องเรือภายในทาสีแดงยาว ๔๕.๕๐ เมตร ความกว้าง ๓.๑๕ เมตร ลึก ๑.๑๑ เมตร กินน้ำลึก ๐.๔๖ เมตร กำลัง ๓.๕๐ เมตร ใช้ฝีพาย ๖๑ คน นายท้าย ๒ คน คนถือธงท้าย ๑ คน พลสัญญาน ๑ คน คนเห่ ๑ คน
เป็นเรือสร้างใหม่ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ จัดเป็นเรือพระที่นั่งศรี หัวเรือจำหลัก ปิดทองเป้นรูปพญานาคเล็ก ๆ จำนวนมาก ลำเรือภายนอกทาสีชมพู ท้องเรือภายในทาสีแดงยาว ๔๕.๕๐ เมตร ความกว้าง ๓.๑๕ เมตร ลึก ๑.๑๑ เมตร กินน้ำลึก ๐.๔๖ เมตร กำลัง ๓.๕๐ เมตร ใช้ฝีพาย ๖๑ คน นายท้าย ๒ คน คนถือธงท้าย ๑ คน พลสัญญาน ๑ คน คนเห่ ๑ คน
เรือกระบี่ปราบเมืองมาร
เรือสองลำนี้มีหัวเรือเป็นรูปพญาวานร หรือขุนกระบี่ เรือกระบี่ราญรอญราพณ์เป็นขุนกระบี่สีดำ ส่วนเรือกระบี่ปราบเมืองมาร เป็นขุนกระบี่สีขาว จัดเป้นกระบวนปิดทองสร้างในรัชกาลที่ ๑ มีความยาวประมาณ ๒๖.๘๐ เมตร กว้าง ๒.๑๐ เมตร ใช้ฝีพาย ๓๖ คน
เรือสองลำนี้มีหัวเรือเป็นรูปพญาวานร หรือขุนกระบี่ เรือกระบี่ราญรอญราพณ์เป็นขุนกระบี่สีดำ ส่วนเรือกระบี่ปราบเมืองมาร เป็นขุนกระบี่สีขาว จัดเป้นกระบวนปิดทองสร้างในรัชกาลที่ ๑ มีความยาวประมาณ ๒๖.๘๐ เมตร กว้าง ๒.๑๐ เมตร ใช้ฝีพาย ๓๖ คน
เรือครุฑเหิรเห็จ
เรือสองลำนี้มีหัวเรือเป็นรูปพญาครุฑยุดนาค จัดเป็นเรือกระบวนเขียนสีลงรักปิดทอง สร้างในรัชกาลที่ ๑ เรือทั้งสองลำนี้มีความยาวประมาณ ๒๗ เมตร กว้าง ๑.๙๐ เมตร ใช้ฝีพาย ๓๔ คน
เรือสองลำนี้มีหัวเรือเป็นรูปพญาครุฑยุดนาค จัดเป็นเรือกระบวนเขียนสีลงรักปิดทอง สร้างในรัชกาลที่ ๑ เรือทั้งสองลำนี้มีความยาวประมาณ ๒๗ เมตร กว้าง ๑.๙๐ เมตร ใช้ฝีพาย ๓๔ คน
เรือพาลีรั้งทวีป
เรือสองลำนี้หัวเรือเป็นรูปพญาวานรหรือขุนกระบี่ เรือพาลีรั้งทวีปเป็นขุนกระบี่สีเขียว ส่วนเรือสุครีพครองเมืองเป็นขุนกระบี่สีแดง จัดเป็นเรือกระบวนปิดทองสร้างในรัชกาลที่ ๑ เรือทั้งสองลำมีความยาวประมาณ ๒๗.๔๕ เมตร กว้าง ๑.๙๕ เมตร ใช้ฝีพาย ๓๔ คน
เรือสองลำนี้หัวเรือเป็นรูปพญาวานรหรือขุนกระบี่ เรือพาลีรั้งทวีปเป็นขุนกระบี่สีเขียว ส่วนเรือสุครีพครองเมืองเป็นขุนกระบี่สีแดง จัดเป็นเรือกระบวนปิดทองสร้างในรัชกาลที่ ๑ เรือทั้งสองลำมีความยาวประมาณ ๒๗.๔๕ เมตร กว้าง ๑.๙๕ เมตร ใช้ฝีพาย ๓๔ คน
เรือสุครีพครองเมือง
เรือสองลำนี้หัวเรือเป็นรูปพญาวานรหรือขุนกระบี่ เรือพาลีรั้งทวีปเป็นขุนกระบี่สีเขียว ส่วนเรือสุครีพครองเมืองเป็นขุนกระบี่สีแดง จัดเป็นเรือกระบวนปิดทองสร้างในรัชกาลที่ ๑ เรือทั้งสองลำมีความยาวประมาณ ๒๗.๔๕ เมตร กว้าง ๑.๙๕ เมตร ใช้ฝีพาย ๓๔ คน
เรือสองลำนี้หัวเรือเป็นรูปพญาวานรหรือขุนกระบี่ เรือพาลีรั้งทวีปเป็นขุนกระบี่สีเขียว ส่วนเรือสุครีพครองเมืองเป็นขุนกระบี่สีแดง จัดเป็นเรือกระบวนปิดทองสร้างในรัชกาลที่ ๑ เรือทั้งสองลำมีความยาวประมาณ ๒๗.๔๕ เมตร กว้าง ๑.๙๕ เมตร ใช้ฝีพาย ๓๔ คน
เรือพระที่นั่งสุพรรณหงษ์ (สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6)
เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เป็นเรือที่สร้างใหม่ในรัชกาลที่ ๖ (เรือเดิมมีนามว่า เรือศรีสุพรรณหงส์ สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑) นาวาสถาปนิก (Naval Architech) ต่อเรือสุพรรณหงส์คืือ พลเรือตรี พระยาราชสงคราม ร.น. (กร หงสกุล) จัดเป็นเรือพระที่นั่งกิ่ง หัวเรือเป็นรูปหงส์ลงรักปิดทองประดับกระจก ภายนอกทาสีดำ ท้องเรือภายในทาสีแดง มีความยาว ๔๔.๙๐ ม. ความกว้าง ๓.๑๔ เมตร ลึก ๐.๙๐ เมตร กินน้ำลึก ๐.๔๑ เมตร กำลัง ๓.๕๐ เมตร ใช้ฝีพาย ๕๐ คน นายท้าย ๒ คน นายเรือ ๒ คน คนถือธงท้าย ๑ คน พลสัญญาน ๑ คน และคนเห่เรือ ๑ คน
เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เป็นเรือที่สร้างใหม่ในรัชกาลที่ ๖ (เรือเดิมมีนามว่า เรือศรีสุพรรณหงส์ สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑) นาวาสถาปนิก (Naval Architech) ต่อเรือสุพรรณหงส์คืือ พลเรือตรี พระยาราชสงคราม ร.น. (กร หงสกุล) จัดเป็นเรือพระที่นั่งกิ่ง หัวเรือเป็นรูปหงส์ลงรักปิดทองประดับกระจก ภายนอกทาสีดำ ท้องเรือภายในทาสีแดง มีความยาว ๔๔.๙๐ ม. ความกว้าง ๓.๑๔ เมตร ลึก ๐.๙๐ เมตร กินน้ำลึก ๐.๔๑ เมตร กำลัง ๓.๕๐ เมตร ใช้ฝีพาย ๕๐ คน นายท้าย ๒ คน นายเรือ ๒ คน คนถือธงท้าย ๑ คน พลสัญญาน ๑ คน และคนเห่เรือ ๑ คน
เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ
เป็นเรือพระที่นั่งกิ่ง ประเภทเรือรูปสัตว์กล่าวคือ เป็นเรือที่แกะสลักหัวเรือเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ ทั้งสัตว์จริงและสัตว์ในเทพนิยาย เรือรูปสัตว์ปรากฎขึ้นในสมัยสมเด็จพระมหาจักพรรดิ พระองค์ทรงแก้เรือแซงเป็นเรือไชยและเรือรูปสัตว์ต่าง ๆ เพื่อจะให้ตั้งปืนใหญ่ที่หัวเรือได้ เรือรูปสัตว์มาจากตราประจำตำแหน่งของเสนาบดี เช่น ราชสีห์ คชสีห์ นาค ฯลฯ นอกจากนี้ เรือพระที่นั่งก็มีหัวเรือเป็นรูปสัตว์ตามพระราชลัญจกรเช่น เรือครุฑและพระราชลัญจกร “พระครุฑพ่าห์” หัวเรือแต่เดิมทำเป็นรูปครุฑเท่านั้นซึ่งก็เป็นสัญลักษณ์หมายถึง เรือพระที่นั่งแห่งพระมหากษัตริย์ ผู้อยู่ในฐานะสมมติเทพนั่นเอง
เป็นเรือพระที่นั่งกิ่ง ประเภทเรือรูปสัตว์กล่าวคือ เป็นเรือที่แกะสลักหัวเรือเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ ทั้งสัตว์จริงและสัตว์ในเทพนิยาย เรือรูปสัตว์ปรากฎขึ้นในสมัยสมเด็จพระมหาจักพรรดิ พระองค์ทรงแก้เรือแซงเป็นเรือไชยและเรือรูปสัตว์ต่าง ๆ เพื่อจะให้ตั้งปืนใหญ่ที่หัวเรือได้ เรือรูปสัตว์มาจากตราประจำตำแหน่งของเสนาบดี เช่น ราชสีห์ คชสีห์ นาค ฯลฯ นอกจากนี้ เรือพระที่นั่งก็มีหัวเรือเป็นรูปสัตว์ตามพระราชลัญจกรเช่น เรือครุฑและพระราชลัญจกร “พระครุฑพ่าห์” หัวเรือแต่เดิมทำเป็นรูปครุฑเท่านั้นซึ่งก็เป็นสัญลักษณ์หมายถึง เรือพระที่นั่งแห่งพระมหากษัตริย์ ผู้อยู่ในฐานะสมมติเทพนั่นเอง
เส้นทางเข้าสู่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเรือพระราชพิธี
๑. ทางเรือ เข้าทางคลองบางกอกน้อยอยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟบางกอกน้อย
๒. ทางบก เข้าทางซอยเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ที่เชิงสะพานอรุณอัมรินทร์ ฝั่งที่ติดกับภัตตาคารเจ้าพระยา (ทางเข้าชุมชนวัดดุสิตาราม) เดินไปตามทางจะมีป้ายชี้บอกจนถึงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเรือพระราชพิธี
๑. ทางเรือ เข้าทางคลองบางกอกน้อยอยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟบางกอกน้อย
๒. ทางบก เข้าทางซอยเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ที่เชิงสะพานอรุณอัมรินทร์ ฝั่งที่ติดกับภัตตาคารเจ้าพระยา (ทางเข้าชุมชนวัดดุสิตาราม) เดินไปตามทางจะมีป้ายชี้บอกจนถึงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเรือพระราชพิธี
3. สุสานหอย ดอยภูแว น่าน
ภูแว-สุสานหอยล้านปี ตั้งอยู่บริเวณหมู่บ้าน ห้วยปูด ม.9 ต.ขุนน่าน โดยอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ไปประมาณ 50 กิโลเมตร ภูแว เป็นภูผาหินสูงใหญ่ สูงจากระดับน้ำทะเล 1,837 ม. ด้วยพื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยทุ่งหญ้าและมีลานหินกระจายอยู่หลายแห่ง เช่น ผาแอ่น ผาผึ้ง เมื่อถึงช่วงฤดูหนาวเป็นที่นิยมเดินขึ้นยอดดอยภูแว เพื่อชมบรรยากาศยามดวงอาทิตย์ขึ้น และทะเลหมอกที่ปกคลุมไปทั่วหุบเขา
สุสานหอย จะประกอบด้วยเทือกเขาหินที่มีหอยทะเล เช่น หอยแครง หอยกาบ ขนาดเล็กแทรกอยู่ และยังเห็นสภาพหอยอยู่อย่างชัดเจน บริเวณที่พบเป็นรอยต่อของเทือกเขาดอย ภูแว โดยเทือกเขาสุสานหอยจะอยู่ลาดต่ำลงมา ซึ่งสันนิษฐานว่าหอยแครงคงจะเป็นหอยที่มีน้ำหนักมากกว่า จึงตกตะกอนก่อนหินชนิดอื่นและเมื่อถูกดินโคลนทับถมภายใต้แรงกดดันและความร้อนจากพื้นโลก ตลอดถึงขบวนการทางเคมี ทำให้แปรสภาพเป็นหินแข็งและมีเปลือกหอยติดอยู่ในสภาพของ ฟอสซิล (phossil) ในส่วนที่เป็นเปลือกหอยที่เบากว่าจะตกตะกอนบริเวณที่ลึกลงไปอีก และเมื่อเกิดการดันตัวของเปลือกโลก จึงทำให้จุดที่ลึกที่สุดกลายเป็นดอยภูแว และถัดออกไปก็จะเป็นบริเวณที่อยู่ของสุสานหอยแครง ทั้งนี้เพราะว่าบริเวณดอยภูแวจะเป็นเทือกเขาหินปูนขาวไปทั้งลูก ซึ่งหินปูนก็จัดเป็นหินตะกอนชนิดหนึ่ง เกิดจากการทับถมตัวของซากเปลือกหอยหรือซากปะการังโบราณนั่นเอง
เส้นทางเข้าสู่สุสานหอย ดอยภูแว
เส้นทางไปดอยภูแว จะผ่านอำเภอเชียงกลาง โดยไปทางบ้านกอก บ้านชี แล้วแยกไปทางบ้านปางแกอำเภอทุ่งช้าง และโดยสารรถยนต์ไปตามเส้นทางนี้ไปจนถึงบ้านน้ำเปิน และบ้านค้างฮ่อ อำเภอปัว แล้วเดินทางต่อไปอีกจนถึงสุสานหอย หรือดอยภูแว ระยะทางประมาณ ๕๐ กิโลเมตร จากอำเภอเชียงกลาง หรือจะไปทางบ้านสกาด ตำบลสกาด ในเขตอำเภอปัว แล้วไปตามเส้นทางขุนน้ำปัวบ้านค้างฮ่อก็ได้
เส้นทางไปดอยภูแว จะผ่านอำเภอเชียงกลาง โดยไปทางบ้านกอก บ้านชี แล้วแยกไปทางบ้านปางแกอำเภอทุ่งช้าง และโดยสารรถยนต์ไปตามเส้นทางนี้ไปจนถึงบ้านน้ำเปิน และบ้านค้างฮ่อ อำเภอปัว แล้วเดินทางต่อไปอีกจนถึงสุสานหอย หรือดอยภูแว ระยะทางประมาณ ๕๐ กิโลเมตร จากอำเภอเชียงกลาง หรือจะไปทางบ้านสกาด ตำบลสกาด ในเขตอำเภอปัว แล้วไปตามเส้นทางขุนน้ำปัวบ้านค้างฮ่อก็ได้
4. วัดใหญ่จอมปราสาท สมุทรสาคร
เป็นวัดเก่าแก่มีอายุประมาณ 400 ปี สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้รับพระราชทานนามว่า “วัดใหญ่สาครบุรี” รวมทั้งได้พระราชทานพระไตรปิฎก และยกฐานะเป็นพระอารามหลวง ภายในวัดมีโบราณสถานที่สำคัญ คือ พระวิหารเก่าแก่ก่ออิฐถือปูนฐานแอ่นโค้งคล้ายท้องเรือสำเภา ที่ซุ้มประตูและหน้าต่างมีการประดับลวดลายปูนปั้น นอกจากนี้ยังมีงานแกะสลักไม้ที่บานประตูและหน้าต่างของพระอุโบสถ เป็นลายพันธุ์พฤกษา ต้นไม้ ภูเขา รูปสัตว์ และบุคคล เป็นศิลปะแบบจีน ซึ่งเป็นลวดลายแกะสลักลึกเข้าไปในเนื้อไม้ที่งดงามมาก กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2479
วัดใหญ่จอมปราสาทเป็นโบราณสถานที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมศิลปากร เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๔๗๙ มีสิ่งที่น่าสนใจคือ
บานประตูไม้สักแกะสลักของศาลาหลังเก่า เป็นวัตถุโบราณที่สวยงามมาก สร้างด้วยไม้แกะสลักลวดลายสวยงามและวิจิตรพิสดาร คือแกะสลักลึกเข้าไปในเนื้อไม้ลึกถึงสี่ชั้น จึงมีลักษณะเป็นภาพซ้อนสามมิติ ซึ่งคล้ายของจริงมาก บานประตูบานหนึ่งแกะเป็นลวดลายเถาดอกไม้ ใบไม้ และรูปสัตว์ต่างๆเช่น สมัน เก้ง เสือ และสัตว์อื่นๆ อยู่ตามโคนต้นไม้ ส่วนลิงจับอยู่บนกิ่งไม้ งูเหลือมพันอยู่บนต้นไม้ ภาพของสัตว์เหล่านี้แสดงกริยาที่แตกต่างกัน
ส่วนอีกบานหนึ่งแกะสลักเป็นรูปป่าสนจีนคล้ายต้นจาก ต้นมะพร้าว มีนกกระเรียนเกาะตามกิ่งไม้ บานประตูนี้กรมศิลปากรได้สงวนไว้เป็นศิลปวัตถุของชาติ ได้ขึ้นทะเบียนไว้เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕
ศาลา ซึ่งเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ากำเเพงก่อด้วยอิฐถือปูน ทรงสอบเข้า (ฐานกว้างกว่าส่วนบน) พื้นที่ของศาลายกสูง (ลักษณะศาลาในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น)
ทัศนียภาพริมแม่น้ำท่าจีน
บานประตูไม้สักแกะสลักของศาลาหลังเก่า เป็นวัตถุโบราณที่สวยงามมาก สร้างด้วยไม้แกะสลักลวดลายสวยงามและวิจิตรพิสดาร คือแกะสลักลึกเข้าไปในเนื้อไม้ลึกถึงสี่ชั้น จึงมีลักษณะเป็นภาพซ้อนสามมิติ ซึ่งคล้ายของจริงมาก บานประตูบานหนึ่งแกะเป็นลวดลายเถาดอกไม้ ใบไม้ และรูปสัตว์ต่างๆเช่น สมัน เก้ง เสือ และสัตว์อื่นๆ อยู่ตามโคนต้นไม้ ส่วนลิงจับอยู่บนกิ่งไม้ งูเหลือมพันอยู่บนต้นไม้ ภาพของสัตว์เหล่านี้แสดงกริยาที่แตกต่างกัน
ส่วนอีกบานหนึ่งแกะสลักเป็นรูปป่าสนจีนคล้ายต้นจาก ต้นมะพร้าว มีนกกระเรียนเกาะตามกิ่งไม้ บานประตูนี้กรมศิลปากรได้สงวนไว้เป็นศิลปวัตถุของชาติ ได้ขึ้นทะเบียนไว้เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕
ศาลา ซึ่งเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ากำเเพงก่อด้วยอิฐถือปูน ทรงสอบเข้า (ฐานกว้างกว่าส่วนบน) พื้นที่ของศาลายกสูง (ลักษณะศาลาในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น)
ทัศนียภาพริมแม่น้ำท่าจีน
การเดินทาง
ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 35 ( ถนนพระราม 2 ) ก่อนจะถึงสะพานข้ามแม่น้ำ ท่าจีนประมาณ 200 เมตร เลี้ยวขวาเข้าถนนทางเข้าวัดประมาณ 200 เมตร วัดจะตั้งอยู่ทางซ้ายมือ
ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 35 ( ถนนพระราม 2 ) ก่อนจะถึงสะพานข้ามแม่น้ำ ท่าจีนประมาณ 200 เมตร เลี้ยวขวาเข้าถนนทางเข้าวัดประมาณ 200 เมตร วัดจะตั้งอยู่ทางซ้ายมือ
5. ดอนหอยหลอด สมุทรสงคราม
สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นสันดอนตั้งอยู่ปากแม่น้ำแม่กลอง เกิดจากการตกตะกอนของดินปนทราย หรือ ที่ชาวบ้านเรียกว่า “ทรายขี้เป็ด” ดอนหอยหลอดมีอาณาบริเวณกว้างประมาณ 3 กิโลเมตร ยาว 5 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 2 แห่ง แห่งแรก ได้แก่ ดอนนอก อยู่บริเวณปากอ่าวแม่กลอง เดินทางไปได้โดยทางเรือ ดอนใน อยู่ที่ชายหาดหมู่บ้านฉู่ฉี่ ตำบลบางจะเกร็ง และอีกแห่งคือ ชายหาดหมู่บ้านบางบ่อ ตำบลบางแก้ว สามารถเดินทางไปได้โดยทางรถยนต์ บริเวณสันดอนมีหอยอาศัยอยู่หลายชนิด ได้แก่ หอยหลอด หอยลาย หอยปุก หอยปากเป็ด หอยแครง แต่พบว่าหอยหลอดเป็นหอยที่มีจำนวนมากที่สุด จึงเป็นจุดเด่นของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้หอยหลอดเป็นหอยชนิด 2 ฝา ตัวสีขาวขุ่น มีเปลือกคล้ายหลอดกาแฟ ฝังตัวอยู่ในเลน การจับหอยหลอด จะจับในช่วงน้ำลง โดยใช้ไม้เล็ก ๆ ขนาดก้านธูป จุ่มปูนขาว แล้วแทงลงไปในรูหอยหลอด หอยจะเมาปูนแล้วโผล่ขึ้นมาให้จับ ไม่ควรสาดปูนขาวลงบนสันดอน เพราะจะทำให้หอยที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นตายหมด
ช่วงเวลาเหมาะสมที่จะท่องเที่ยวดอนหอยหลอด คือ ประมาณเดือนมีนาคม – พฤษภาคม เพราะน้ำทะเลจะลดลงนานกว่าช่วงเวลาอื่น และสามารถมองเห็นสันดอนโผล่ขึ้นมา นักท่องเที่ยวสามารถเช่าเรือบริเวณศาลาอาภร (ใกล้ศาลกรมหลวงชุมพรเขตตอุดมศักดิ์) เพื่อนั่งเรือไปชมดอนหอยหลอด ราคาเช่าลำละ 60 บาท (ไม่เกิน 6 คน) หรือ นักท่องเที่ยวคนละ 10 บาทต่อเที่ยว ชมปากอ่าว (ไม่เกิน 5 คน) ราคาเช่าลำละ 200 บาท หากต้องการเช่าไปเที่ยวชมทิวทัศน์ป่าชายเลน (ไม่เกิน 7 คน) ราคาลำละ 300 บาท นักท่องเที่ยวสามารถ
สอบถามรายละเอียดเวลาน้ำขึ้น – น้ำลง ได้ที่ อบต.บางจะเกร็ง โทร. 0 3472 3749, 0 3472 3736 หรือ ตารางน้ำขึ้น-น้ำลง ณ ดอนหอยหลอด จากมาตราน้ำ กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ สนุบสนุนการจัดทำโดย มูลนิธิศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ สมุทรสงคราม
สอบถามรายละเอียดเวลาน้ำขึ้น – น้ำลง ได้ที่ อบต.บางจะเกร็ง โทร. 0 3472 3749, 0 3472 3736 หรือ ตารางน้ำขึ้น-น้ำลง ณ ดอนหอยหลอด จากมาตราน้ำ กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ สนุบสนุนการจัดทำโดย มูลนิธิศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ สมุทรสงคราม
บริเวณดอนหอยหลอดยังเป็นที่ประดิษฐานศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ มีการแสดงดนตรีไทยทุกวันอาทิตย์ที่ 1 และ 3 ของเดือน เวลา 16.30 – 18.30 น. ณ บริเวณสนามหญ้าหน้าศาลกรมหลวงชุมพรเขตตอุดมศักดิ์ นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารและร้านขายสินค้าของที่ระลึกหลายร้านเรียงราย บริเวณดอนหอยหลอดขายสินค้าประเภทอาหารทะเลสด-แห้ง หอยหลอดสด-แห้ง น้ำปลา กะปิคลองโคน น้ำตาลปึก น้ำตาลสด ฯลฯ
การเดินทางรถยนต์
1. ไปยังหมู่บ้านบางบ่อ ตำบลบางแก้ว ไปตามถนนธนบุรี-ปากท่อ (พระราม 2) ก่อนถึงหลักกิโลเมตรที่ 62 มีป้ายซ้ายบอกทางเข้าดอนหอยหลอด ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร
2. ไปยังหมู่บ้านฉู่ฉี่ ตำบลบางจะเกร็ง ไปตามถนนธนบุรี-ปากท่อ (พระราม 2) ประมาณกิโลเมตรที่ 64 ก่อนข้ามสะพานพุทธเลิศหล้านภาลัย เชิงสะพานมีป้ายบอกทางเข้าดอนหอยหลอดระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร
รถโดยสารประจำทาง
สามารถเดินทางโดยรถสองแถว มีรถออกตลอดทั้งวันจากตัวตลาดในอำเภอเมืองสมุทรสงคราม ไปยังบ้านฉู่ฉี่ ดอนหอยหลอด
การเดินทางทางเรือ
การเดินทางไปยังดอนหอยหลอดนอก จากมีเรือขนาดต่าง ๆ บริการที่ท่าริมน้ำแม่กลอง ถ้าเป็นหมู่คณะใหญ่ประมาณ 40 คนขึ้นไป ติดต่อสอบถามล่วงหน้า ที่โรงเลื่อยจักรซุ่นฮวดเฮง คุณพรทิพย์ แสงวณิชโทร. 034-711466, 034-712558, 034-712451, 01-3785858 (มีบริการสั่งอาหารไปทานบนเรือ) หรือ ติดต่อที่ห้องขายตั๋วเรือข้ามฟากริมแม่น้ำแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม
1. ไปยังหมู่บ้านบางบ่อ ตำบลบางแก้ว ไปตามถนนธนบุรี-ปากท่อ (พระราม 2) ก่อนถึงหลักกิโลเมตรที่ 62 มีป้ายซ้ายบอกทางเข้าดอนหอยหลอด ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร
2. ไปยังหมู่บ้านฉู่ฉี่ ตำบลบางจะเกร็ง ไปตามถนนธนบุรี-ปากท่อ (พระราม 2) ประมาณกิโลเมตรที่ 64 ก่อนข้ามสะพานพุทธเลิศหล้านภาลัย เชิงสะพานมีป้ายบอกทางเข้าดอนหอยหลอดระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร
รถโดยสารประจำทาง
สามารถเดินทางโดยรถสองแถว มีรถออกตลอดทั้งวันจากตัวตลาดในอำเภอเมืองสมุทรสงคราม ไปยังบ้านฉู่ฉี่ ดอนหอยหลอด
การเดินทางทางเรือ
การเดินทางไปยังดอนหอยหลอดนอก จากมีเรือขนาดต่าง ๆ บริการที่ท่าริมน้ำแม่กลอง ถ้าเป็นหมู่คณะใหญ่ประมาณ 40 คนขึ้นไป ติดต่อสอบถามล่วงหน้า ที่โรงเลื่อยจักรซุ่นฮวดเฮง คุณพรทิพย์ แสงวณิชโทร. 034-711466, 034-712558, 034-712451, 01-3785858 (มีบริการสั่งอาหารไปทานบนเรือ) หรือ ติดต่อที่ห้องขายตั๋วเรือข้ามฟากริมแม่น้ำแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น